‘แล้วเด็กที่จบจากที่นี่ไป แล้วเค้าจะไปที่ไหนกันต่อ'
ไม่เพียงแต่คำถามนี้จะเกิดกับผู้สัมภาษณ์ หากแต่ยังเกิดขึ้นกับเหล่าผู้ปกครอง ที่ต่างก็ผิดหวังจากระบบการศึกษาไทย แล้วหันมา วางทีท่าจะพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่า การศึกษาทางเลือก เพราะการเลือกสถานศึกษา ถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของลูกได้
‘ส่วนมากที่จบไป ก็จะไปเรียนเป็นโฮมสคูลเลย หรือบางที
ก็มี Gap Year เพื่อไปตามหาตัวเองจริงๆ ก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย’
‘แล้วถ้าเค้าไม่ได้เรียนจบมาจากโรงเรียนปกติทั่วไป แล้วเค้าจะมีวิธีไหนบ้าง ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย’
‘ใช้เป็น Portfolio ที่ได้ทำมาตลอดที่เรียนในโรงเรียนทางเลือกยื่นเข้า’
ครูจาว หนึ่งในผู้ก่อตั้งโรงเรียนฟ้ากว้าง (ศูนย์การเรียนรู้ฮอมขวัญ) ตอบคำถาม ที่คงจะถูกตั้งคำถามกับโรงเรียนของคุณครูมามากมาย เพราะโรงเรียนทางเลือก ยังไม่เป็นที่นิยมมากนักในประเทศไทย ยิ่งกับเชียงใหม่แล้ว นักเรียนที่จบจากโรงเรียนทางเลือกในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็ยังมีเพียงอยู่ไม่กี่รุ่น
ผู้ปกครองหลายๆ คนหวังพึ่งพาระบบการศึกษาทางเลือก เพียงเพื่อให้ลูกของเค้าได้ ทำในสิ่งที่ควรทำในช่วงชีวิตนั้น ได้วิ่งเล่น ได้เล่นของเล่น แทนที่จะต้องไปนั่งหลังตรง ตาจ้องกระดาน ที่แม้แต่จะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ยังต้องขออนุญาต นั่นเป็นเหตุผลเดียวกัน ที่ทำให้เกิดโรงเรียนฟ้ากว้างนี้ขึ้นมา
โรงเรียนทางเลือก เป็นโรงเรียนที่จะไม่ได้สอนตามกระทรวงศึกษาธิการเป็นหลัก หากแต่จะสอนไปตามพัฒนาการของเด็ก ไม่เร่งรีบให้เค้าเรียนตามแบบโรงเรียนทั่วไป นั่นอาจทำให้ตัวเด็ก เขียนชื่อตัวเองได้ช้า บวกเลขได้ช้ากว่าปกติ จนถูกนำไปเปรียบเทียบกับเด็กโรงเรียนทั่ว แล้วก็สรุปว่าเด็กโรงเรียนทางเลือกไม่เก่งหรือไม่ฉลาด
ในทางกลับกัน โรงเรียนทางเลือกมุ่งเน้นไปที่ตัวเด็กเป็นหลัก มีการพัฒนาหรือการเรียนการสอนที่เป็นไปตามแบบฉบับของตัวเอง เช่น วิถีพุทธ, วอลดอร์ฟ หรือ มอนเตสเซอรี่ เป็นต้น การเรียนที่เน้นตัวผู้เรียนเป็นสำคัญนั้น จะมีข้อดีคือเด็กๆ มีความสุขไปกับการเรียน และที่สำคัญที่สุด คือพวกเค้าจะได้รู้ตัวจริงๆ ว่าเค้าชอบอะไร แต่ข้อเสียที่คงจะเป็นข้อกังวลหลักๆ ก็คือในเรื่องของการเรียนรู้ที่ช้า และปัญหาหลังจากที่จะจบจากโรงเรียนทางเลือกไป
‘ที่ปัญโญทัย ที่ลูกครูเรียนอยู่ เค้าจะให้เด็กทำโปรเจ็ค ปีละหนึ่งโปรเจ็ค และพัฒนามันไปเรื่อยๆ ลูกของครู ชอบพวกกลไกทั้งหลาย เค้าก็เริ่มทำมาตั้งแต่ ม.1 พอเขาขึ้น ม.2 เขาก็เริ่มขยับไปทำ กล่องดนตรี ที่ต้องอาศัยทั้งกลไก แหล่งกำเนิดเสียง และเรื่องของดนตรี ทางโรงเรียนเองก็พาเค้าไปรู้จักกับผู้เชี่ยวชาญ ที่เชี่ยวชาญในด้านการทำกล่อง ก่อนที่จะพาเค้าไปเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญส่วนอื่นๆ’
ครูจาวยกตัวอย่าง ลูกชายคนโตของคุณครูให้ฟัง สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ลูกของคุณครูรู้ว่าเค้าชอบอะไร แล้วเค้าจะทำอะไรต่อไปได้บ้างในสิ่งที่เค้าสนใจ สิ่งที่ทำให้ผู้ปกครองชื่นใจแน่ๆ คือลูกๆ ของเค้าจะมีความสุขกับการศึกษา แต่คำถามมันก็ไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น
โดยปกติโรงเรียนทางเลือก จำนวนการรับก็ค่อนข้างน้อย และค่อนข้างใส่ใจกับเด็กเป็นรายบุคคล มีอุปกรณ์ มีกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้ปกครองเองต้องมี ต้นทุน ที่ค่อนข้างเยอะกว่าปกติ ต้นทุนนี้ไม่เพียงแต่เรื่องของค่าใช้จ่าย มันยังรวมไปถึงเรื่องเวลาที่เค้าจะมีให้กับลูกๆ บางโรงเรียนถึงขั้นกำหนดเลยว่า ห้ามให้ลูกดูทีวี ดู Tablet เลยก็มี และเมื่อพอเด็กเรียนจบแล้ว สำหรับคนที่มีทุนทรัพย์มากพอ เค้าก็เรียนโฮมสคูล เพราะเค้าหมดความเชื่อมั่นในระบบการศึกษาหลักไปโดยสิ้นเชิง บางคนก็ส่งให้ลูกไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ถ้าบางคนด้านทุนทรัพย์อาจจะไม่มากมายขนาดนั้น และก็ไม่ได้เกลียดการศึกษาระบบหลักเข้าถึงกระดูกดำ เค้าก็ต้องหันกลับเข้ามาพึ่งพาระบบการศึกษาหลักอย่าง มหาวิทยาลัยในประเทศไทยอยู่ดี แล้วแบบนี้ สิ่งที่เรียนมาในโรงเรียนทางเลือกจะมีประโยชน์อะไร
‘เมื่อก่อน แม้ว่ายังไม่มีโครงการการรับเข้าที่ดูผลงาน หรือดูพอร์ตเป็นหลัก แต่ปัจจุบันก็มีมากขึ้น และเด็กโรงเรียนทางเลือกก็จะได้เปรียบ เพราะเค้าได้อยู่กับสิ่งนั้นมาตลอด’
นี่เป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก ว่าความได้เปรียบของนักเรียนโรงเรียนทางเลือก ที่ต้องกลับมาเข้าแข่งขันในการศึกษาหลักเป็นอย่างไร ซึ่งการศึกษาทางเลือกก็สามารถตอบโจทย์ในสิ่งที่ระบบการศึกษาปัจจุบันไม่สามารถตอบให้ได้
เด็กรู้ ว่าเด็กเค้าชอบอะไร
ในประเทศที่การศึกษาหลัก ไม่สามารถทำให้เด็กตอบตัวเองได้ว่า จริงๆ แล้วเค้าเป็นใคร จริงๆ แล้วเค้าต้องการอะไร พวกเค้าอยากเป็นหมอ พวกเค้าพร้อมที่จะทนพบเจอกับคนไข้ที่หน้าตาไม่สดใส ใจที่คาดหวังพึ่งพาให้หายจากความเจ็บไข้ได้ป่วย ประเทศที่การศึกษา เกิดจากความคาดหวังของหัวอกคนเป็นพ่อแม่ มากกว่าที่จะถามลูกว่า โตขึ้นจะเป็นอะไร
การศึกษาทางเลือก ไม่เคยจำกัดข้อนั้น
การศึกษาทางเลือกเปิดกว้างให้นักเรียนได้ค้นหาตัวเอง ในขณะที่การศึกษาทั่วไปยังคงคอยทำให้เด็กบังคับตัวเอง ให้เรียนในสิ่งที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเรียนไปใช้อะไร เราจะเห็นได้ชัดจากการย้ายออก ย้ายเข้าของนักศึกษามหาวิทยาลัย หรือสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ซิ่ว’ ที่มากขึ้นในปัจจุบัน เมื่อเวลาก็เป็นหนึ่งในต้นทุนที่สำคัญสำหรับอนาคต แต่บางคนกลับต้องเสียต้นทุนไปเพียงเพราะ สิ่งที่พวกเค้าเลือกเรียนนั้นในภายหลัง มันไม่ใช่สำหรับเค้าอีกต่อไป หรือหนักที่สุด ก็คือการเข้าพบจิตแพทย์ เพราะถูกบังคับให้เรียนอยู่กับสิ่งที่ไม่เคยจะเป็นของพวกเค้าตั้งแต่แรก
สิ่งที่โรงเรียนทางเลือกได้มอบให้ ไม่ใช่แค่ Portfolio ที่ทำให้เด็กเกิดความได้เปรียบ เหนือกว่าระบบการศึกษาแบบปกติ แต่โรงเรียนทางเลือกได้สร้างเส้นทาง ให้กับเด็กในการเดินต่อไปข้างหน้า เส้นทางที่ทำให้เค้าค้นพบตัวเองได้ชัดเจนมากกว่านักเรียนในระบบปกติ แม้ว่าเส้นทางมันอาจจะไม่ชัดเจนมากเท่าไหร่นัก แต่มันก็มากพอที่จะทำให้พวกเค้าไม่หลงทาง และติดกับดักระบบการศึกษาในประเทศที่ไม่รู้ว่า เป้าหมายของการศึกษาแท้จริงแล้วคืออะไร
Comments