"บ้านข้างวัด"
พื้นที่ไม่มากไม่น้อยที่อยู่ ใกล้บริเวณ วัดร่ำเปิง (ตโปทาราม) ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะอนุรักษ์สังคมไทยเมื่อสามสิบปีก่อน อยู่ร่วมกัน มีความสัมพันธ์กันชันพี่กับน้อง เกื้อกูลช่วยเหลือสนิทสนม จึงเกิดการสร้างโครงการบ้านข้างวัดขึ้นมา
นอกจากที่สร้างหมู่บ้านนี้ขึ้นมาเพื่อจะรักษาสังคมแบบสมัยก่อนแล้วยังมีจุดประสงค์ของการเรียนรู้และทำให้โครงการบ้านข้างวัดนั้นเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่ให้ศึกษาความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะคนภายนอกสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้ คนที่ไม่รู้จักหรือว่าไม่เคยเรียนมาก่อนก็จะได้ทำความรู้จักเกี่ยวกับงานต่างๆได้ งานศิลปะในที่นี้ไม่ได้เป็นงานศิลปะชั้นสูงหรืออะไร ส่วนมากจะเป็นงานทำมือและแฮนเมดต่างๆ จึงทำเกิดเป็นหมู่บ้านงานคราฟไปในตัวด้วยเลย เนื่องจากชาวบ้านหรือคนที่อยู่ระแวกนั้นสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่างานศิลปะที่ซับซ้อน หมู่บ้านแห่งนี้เปรียบเมือนกับหอศิลป์ หอศิลป์คนธรรมดาทั่วไปถ้าไม่รู้สนใจหรือรู้จักงานศิลปะจริงก็กล้าที่จะเข้าไปดูหรือใช้พื้นที่ในส่วนนั้น เราเลยจำลองให้แบบเรียบง่ายในหมู่บ้านแห่งนี้ที่เป็นตัวบ้านจริงๆ คล้ายงานinstallationแต่แตกต่างกันตรงที่บ้านนั้นมีคนอยู่จริงๆอาศัยอยู่จริงตามความเป็นจริงเป็นบ้านเลย มันจึงทำให้คนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับศิลปะหรือบุคคลทั้วไปนั้นสนใจและกล้าที่จะเข้ามาเรียนรู้ในพื้นที่บริเวณเหล่านี้
“ ใช้พื้นที่ ที่มีนั้นให้ได้ประโยชน์มากที่สุดทั้งส่วนรวมและส่วนตัว ”
ณัฐวุฒิ รักษ์ประสิทธิ์
(ผู้ก่อตั้งและเจ้าของโครงการบ้านข้างวัด)
บ้านทั้งหมดนั้นจะเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยจริงจริงไม่ได้เป็นแค่ร้านค้า เพราะว่าอยากจะให้เห็นความผูกพันของบ้านและเจ้าของบ้านนั้นจริงจริง Concept คือคล้ายๆกับ ชีวิต (LIFE) ถ้าหากเราไม่ได้อยู่จริงๆหรือแค่เช้าพื้นที่แค่ขายของนั้น ความมีชีวิตของหมู่บ้านจริงๆก็จะไม่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการดพรงชีวิตอยู่มันทำให้งาน(ตัวบ้าน)นั้นมีชีวิตจริงๆ แบบรอยแตกของบ้าน รอยด่าง หยากไย่ รอยของไม้เลื้อยแม้กระทั้งรอยเท้า หรือสิ่งที่ผ่านกาลเวลาและการใช้งานมาแล้วจริงๆมันทำให้งานนั้นมีชีวิตขึ้นมา ได้นำเสนอบ้านที่มีเอกลักษณ์และมีความโดดเด
บ้านหลังแรก
เป็นบ้านของพี่อ้อน ที่อยู่มาตั้งแต่สร้างโครงการมาแรกแรก บ้านของพี่เขาก็จะเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ ข้างบนก็จะเป็นห้องนอน ส่วนข้างล่างจะเป็นเหมือนกับร้านขายของแฮนเมดที่ทำเอง งานที่พี่อ้อนทำจะเป็นงานเย็บผ้าแฮนแมดเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของร้านนี้ก็คือ ผ้าหรือของทุกชิ้นนั้นจะมีลายของดอกกุหลาบอยู่บนงานนั้นเสมอ
บ้านหลังที่สอง เป็นบ้านที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ บ้านหลังนี้ค่อยข้างใหญ่ และมีสตูอยู่ใต้บ้านอีกด้วย บ้านหลังนี้ทำงานที่เกี่ยวกับการออกแบบโดยใช้วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณืของภาคเหนือคือผ้าฮ่อมเอามาต่อยอดเป็นเสื้อ เป็นหมอนและกระเป๋า ตุ้มหูต่างๆ นอกจากนี้แล้วยังรับออกแบบงานและงานอีเว้น
บ้านหลังที่สาม เป็นบ้านของพี่เนตร ที่เป็นศิลปินสีน้ำ พี่เนตรอยู่บ้านหลังนี้ได้ปีนึงแล้ว ตอนแรกพี่เนตรตัดสินใจนานมากว่าจะมาอยู่มั้ยเพราะว่ากลัวและไม่รู้ว่าจะเป็นแบบที่เจ้าของโครงการพูดจริงรึป่าวแต่พอตัดสินใจได้เข้ามาอยู่รู้ได้เลยว่ามันเป็นเหมือนครอบครัวจริงๆมีพี่น้องมีคนคอยช่วยเหลือกัน ในตัวบ้านนั้นจะแบ่งเป็นสองฝั่งคือฝั่งของการแสดงงานเอามาโชว์ละอีกฝั่งคือมีที่ขายภาพของตัวเองมีส่วนของที่ทำเวิรคช๊อปสีน้ำ นอกจากนั้นแล้วบ้านหลังนี้ได้ใช้พื้นที่ได้ตามที่บอกไว้เลยเปิดให้ทุกคนในชุมขนนั้นเข้ามาเรียนรู้ศิลปะและจัดแสดงงานจริงๆ
"ก่อนที่จะมาอยู่ในโครงการบ้านข้างวัด รู้สึกว่าสถานที่นี้เป็นแค่อุดมคติที่ทุกบ้านอยากจะมี มีคนอยู่มีพี่มีน้องมีครอบครัว แต่พอมาอยู่จริงๆ มันทำให้รู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่แค่อุดมคติแต่มันเกิดขึ้นกับเราแบบนั้นจริงๆ"
ธเนศ มณีศรี
(เจ้าของบ้านหลังที่สาม)
บ้านหลังที่สี่ เป็นบ้านของพี่นัท ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับส่วนตัวและส่วนรวม เป็นห้องสมุดที่อยู่ใต้บ้านของเขา พี่นัทอยู่ที่โครงการนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วเกตุผลที่ทำเป็นห้องสมุดเพราะว่า การที่เราชอบอ่านหนังสือแต่มีงบประมาณไม่ถึงไปห้องสมุดบางทีก็ไม่มีหนังสือแบบที่ต้องการจริงๆจึงทำได้แค่เข้าไปร้านขายหนังสือแล้วยืนอ่านตรงหน้าร้านพออ่านเสร็จก็เก็บไว้ที่เดิมหยิบจับออกนอกร้านก็ไม่ได้ เขาจึงอยากจะทำห้องสมุดขึ้นมาเพื่ออยากแบ่งปันและนำหนังสือที่เขาสนใจมาไว้ในห้องสมุดและทำให้คนที่ชอบหนังสือเดียวกันนั้นได้มารวมตัวกันแบ่งปันเรื่องราวต่างๆโดยผ่านห้องสมุดของพี่เขา
โคงการบ้านข้างวัดนั้นจะปิดร้านที่อยู่ข้างล่างบ้านทุกทุกวันจันทร์ และทุกๆวันจันทร์นั้นทุกๆบ้านจะมารวมตัวกันที่บ้านพี่เนตรมานั้งพบป่ะพูดคุยกัน และสานสัมพันธ์ คุยกันเรื่องทั่วไปจิปาถะ และช่วยกันคิดผลิตภัณฑ์และการออกแบบแต่ละร้าน ยิ่งทำให้รู้สึกว่าบ้านแต่ละหลังนั้นอยู่กันแบบจริงๆช่วยเหลือกันแทบทุกเรื่อง ภาพเหล่านี้แทบจะไม่ค่อยได้เห็นในวันธรรมดาที่เปิดร้านทั่วไปเพราะทุกคนต่างก็จะมีหน้าที่การงานในส่วนของตน แต่ถ้าหากมีเวลาว่างหรือวันหยุดทุกคนก็จะมารวมตัวกันแบบนี้ แอบเป็นภาพที่หาดูได้ยาก