รูปแบบการดำรงชีพในสังคมมนุษย์ปัจจุบัน อาชีพเป็นหน้าที่ของบุคคลในสังคม การที่บุคคลประกอบอาชีพจะได้มาซึ่งค่าตอบแทน หรือ รายได้ เพื่อใช้จ่ายในการดำรงชีวิต อาชีพอาจมีรายได้ต่างๆกันไป ลักษณะอาชีพที่เป็นลูกจ้างจะได้ค่าตอบแทนในรูปแบบเงินเดือน อาชีพค้าขายหรือประกอบกิจการส่วนตัวหรือ การลงทุนจะได้ค่าตอบแทนในรูปแบบ กำไร ในยุคสมัยที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเอง ถ้าหากไม่ดิ้นรนก็ต้องอด เพราะฉะนั้นชีวิตต้องสู้ ชีวิตยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป
...ในเส้นทางที่มีแต่ความวุ่นวาย ผู้คนมากหน้าหลายตา
จะมีใครรู้ว่าบนฟุตบาทมีอะไรหลายอย่างที่เรายังไม่เคยรุ้มาก่อน
มีชายชรานั่งอยู่ตรงที่เดิมเป็นเวลานานหลายชั่วโมงเป็นประจำทุกวัน
แม้สังขารทรุดโทรม แก่ชรา แต่ก็ยังคงออกมาดิ้นรนประกอบอาชีพสุจริต
ตาอ๊อด และภรรยา เดิมทีเป็นคน จังหวัด สุโขทัย มีลูกด้วยกัน 3 คน ต่างคนก็แยกย้ายมีครอบครัวกันไปหมด โดยตาและยายมาอาศัยอยู่กับหลาน ที่เชียงใหม่ เพื่อเลี้ยงลูกของหลาน ซึ่งเรียกว่าเหลน อีกที เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน ที่ ชุมชนวัดสวนดอก ราคา 5000 บาท ตาบอกว่า " อยู่ด้วยกันหลายคนถูกดี ช่วยกันจ่ายคนละพันสองพัน" โดยหลานก็ประกอบอาชีพค้าขาย และที่บ้านจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยการทำอาหารที่หลากหลายชนิด
ชาวบ้าน พ่อค้า แม่ค้า หมอ และพยาบาล ต่างก็คุ้นชินกับภาพ ตายาย มานั่งขายขนมไทย บริเวณหน้าเซ่เว่นโรงพยาบาลสวนดอก ด้านหน้ามีขนมวางขายอยู่ 2 อย่าง คือ ขนมใส่ใส้ และขนมข้าวต้มมัด ในราคา 4 อัน 20 บาท ถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ แม้ร้านของตาและยาย จะดูไม่น่าสนใจ ดึงดูดที่จะซื้อเท่าไหร่ แต่ด้วยความสงสาร ผู้คนที่เดินผ่านก็จะช่วยกันอุดหนุนขนม โดยตามีจักรยานคู่ใจ เพื่อนำขนมที่ช่วยกันทำไปขาย ปั่นบ้าง จูงบ้าง ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะถึงจุดหมาย
ในทุกๆทุกวันตาและยาย จะตื่นแต่เช้าเพื่อมาช่วยกันจัดเตรียมของเพื่อมาทำขนม ที่เป็นสิ่งที่ตนรัก มีความถนัด และอร่อย โดยยายได้วิชาความรู้มากจากรุ่นปู่รุ่นย่าอีกที และยายเองได้นำความรู้เพื่อมาประกอบอาชีพ หาเลี้ยงชีพ
ตาจะออกจากบ้านตั่งแต่เวลา 6 โมง นั่งขายจนถึง เที่ยงคืน หรือจนกว่าของจะหมด บางวันตี 2-3 ตาถึงจะได้กลับบ้าน บางวันตาก็ขายไม่หมด กำไรที่คิดว่าจะได้ก็ต้องขาดทุน แม้อากาศจะร้อน หนาว ฝนตก ตาและยายก็จะออกมาขายขนม เพื่อหาเลี้ยงปากท้องตัวเอง โดยตามีจักรยานคู่ใจ เพื่อนำขนมที่ช่วยกันทำไปขาย ปั่นบ้าง จูงบ้าง ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะถึงจุดหมาย
แม้สังขารจะร่วงโรยจนทำอะไรไม่ไหวแล้ว สองตายาย ด้วยอายุของทั้งคู่ก็ปาเข้าไป 80 ปี สังขารเสื่อมทรุด และมีโรครุมเร้า ตาเองก็มีหลังที่โค้งงอผิดรูป เกิดจากตอนเป็นหนุ่ม มีอาชีพกรรมกร เกิด
อุบัติเหต แผ่นไม้ร่วงล่นทับหลัง แต่ทั้งสองก็ยังคง ออกมาดิ้นรนทำอาชีพสุจริต หารายได้ที่ได้มาก็พอประทังชีวิตไปวันๆ
ในยุคสมัยจะเปลี่ยนไป เด็กไทยรุ่นหลัง ๆ แทบไม่ค่อยรู้จักขนมไทยกันแล้ว ทำให้ขนมของตาขายไม่หมด ตาก็จะนั่งขายจนกว่าของจะหมด หรือบางวันก็จะออกมาขายใหม่ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ตาและยายอยู่ด้วยกันอย่างพอเพียง แม้จะมีลูกแต่ก็ไม่อยากรบกวน เพราะลูกก็ต้องกินต้องใช้ ไหนจะส่งลูกเรียนหนังสือ ไหนจะใช้ใช้จ่ายประจำวัน เงินที่ได้จากขายขนมก็เอามาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ซื้อกับข้าวกับปลามากิน และเจียดเงินเล็กๆ น้อยๆ มาเก็บเอาไว้บ้าง เพื่อนำไปรักษาตัวเอง ที่มีโรครุมเร้าหลายโรค ปวดหลัง และปวดตามเนื้อตาตัวที่เดินไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดพัก
" ความสุขทุกวันนี้คือ ขายของได้มีเงินไปซื้อข้าวกิน ดูแลลูก ดูแลหลาน " ตาอ๊อด