ชุมชนวัดป่าแดงมหาวิหารเป็นชุมชนเล็กๆที่มีผู้คนอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น ซึ่งเป็นชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานโดยใช้พื้นที่ของวัด หากมองภาพภายนอกคงเป็นชุมชนที่ไม่น่าเข้าไปสัมผัสเท่าไหร่ ทั้งสกปรกและไม่มีความเป็นระเบียบ อีกทั้งยังมีขยะมากมายกองเรียงกันอยู่ตามพื้นที่ต่างๆในชุมชน
ยายอ๊อดเป็นหญิงชราคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ และเป็นอีกหนึ่งคนที่มีรายได้หลักมาจากการขายขยะรีไซเคิล เพื่อหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเองและคนในครอบครัว ดังนั้นอาชีพหลักของยายอ๊อดคือการเก็บขยะมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในแต่ละวัน เพื่อหาเงินมาดูแลหลานอีกสองคน เนื่องจากลูกชายต้องออกไปทำงานหาเงินไกลบ้านจึงไม่ค่อยได้แวะเวียนกลับมาหาลูกและดูแลแม่สักเท่าไหร่ ยายเคยเล่าให้ฟังว่าในอดีตยายเป็นลูกจ้างทำงานอยู่ที่ร้านขายส้มตำและคู่ชีวิตของยายก็ยังเป็นนักเก็บขยะตัวยงอีกด้วย เมื่อตาป่วยด้วยอาการของโรคไต ยายจึงจำเป็นต้องลาออกจากงานที่ทำอยู่เพื่อมาดูแลสามีผู้ซึ่งเป็นคู่ชีวิต ผู้ที่คอยดูแลซึ่งกันและกันมาตลอด ยายอ๊อดจึงต้องการใช้เวลาที่มีอยู่ทั้งหมดอยู่เคียงข้างกันจนวินาทีสุดท้าย หลังจากนั้นคุณตาก็เสียชีวิตลงในเวลาต่อมา
ด้วยภาระอันหนักอึ้งของคุณยายวัย 74 ปี ที่นอกเหนือจากการเก็บขยะขายแล้ว ยายอ๊อดยังต้องเลี้ยงเจ้าหลานน้อยวัยเพิ่งหัดเดินอีกด้วย วันใดที่ข้างบ้านไม่มีคนอยู่วันนั้นจึงไม่มีคนช่วยดูแลเจ้าตัวเล็ก ด้วยความเป็นห่วงหลานที่ยังไม่สามารถจะหุงหาข้าวปลาเองได้ ยายจึงจำเป็นจะต้องหยุดการทำงานและขาดรายได้ของวันนั้นไป เพื่ออยู่ดูแลและเป็นเพื่อนเล่นให้กับเด็กน้อย ส่วนหลานคนโตของยายอยู่ป.5 เรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดสวนดอก ถึงจะโตเป็นพี่หาข้าวหาปลากินเองได้แต่ยายก็ยังคงห่วงไม่ต่างกับน้องเล็ก เฉกเช่นคนเป็นพ่อเป็นแม่ต่อให้ลูกจะโตแค่ไหนยังไงเขาก็ยังคงรักและห่วงใยอยู่เสมอ ถึงยายจะเหนื่อยแต่ยายก็มีกำลังใจและยิ้มได้ทุกครั้งเมื่อกลับมาบ้านแล้วเห็นเด็กๆ
ยายอ๊อดบอกไว้ว่าการที่ยายออกมาเก็บขยะและเลือกที่จะประกอบอาชีพนี้เป็นอาชีพหลัก เพราะอยากแบ่งเบาภาระในส่วนของตนเอง เช่น ค่ายา ค่าอาหาร และที่สำคัญการออกไปเก็บขยะในแต่ละพื้นที่นั้นทำให้ยายได้หวนนึกถึงตาผู้เป็นสามีที่ล่วงลับไปแล้ว ทุกครั้งที่เข็นรถเก็บขยะ ยายมีความรู้สึกราวกับว่าสามีของยายยังไม่ได้จากไปไหน ตายังคงเข็นรถเข็นและเก็บขยะไปพร้อมๆกับยาย ซึ่งยายไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระของลูก ดังนั้นยายจึงต้องเก็บขยะให้ได้เยอะๆเพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีพและแบ่งให้หลานๆได้
รถข็นเก็บขยะเป็นทั้งเครื่องมือทำมาหากินและพาหนะคู่กายประจำยายอ๊อดเลยก็ว่าได้ รถเข็นอยู่ที่ไหนยายอ็อดก็จะอยู่ที่นั่น ยายอ๊อดอยู่ที่ไหนรถเข็นก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ยายพยายามจะเก็บขยะให้ได้มากๆในทุกๆวัน เพราะการขายขยะรีไซเคิลนั้นมีรายได้ที่ไม่แน่นอนซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละวัน ในบางวันก็มีคนมาเก็บขยะไปก่อนทำให้ยายอ๊อดเก็บขยะได้น้อยรายได้ของวันนั้นก็จะน้อยตามไปด้วย ถึงจะเป็นอาชีพที่ไม่ต้องลงทุนมากแต่ก็มีการแข่งขันสูงมากเช่นกัน ทุกครั้งที่ยายเปิดฝาถังขยะมันเหมือนกับการเสี่ยงโชคลุ้นดวงว่าวันนี้จะเจออะไรบ้าง บางวันโชคดีเจอของมีค่าหรืออาจจะไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็มี
อาชีพเก็บขยะเป็นอาชีพที่หาเช้ากินค่ำ เป็นอาชีพที่ไม่มีวันหยุด วันไหนหยุดวันนั้นก็จะไม่มีกิน ใช่ว่าจะเก็บได้ทุกวันเก็บวันนี้ขายวันนี้ก็ไม่ได้ ต้องสะสมต้องใช้เวลายิ่งเก็บมากยิ่งได้มากเผื่อเงินไว้ปากท้องของวันต่อไป ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานร่าเริงกับเทศกาลวันหยุดสุดหรรษา เรามักเจอผลพวงที่ตามมาคือถนนที่เต็มไปด้วยขยะมูลฝอย นั่นก็มาจากฝีมือของมนุษย์ผู้รักสนุก มีเพียงเหล่าประชากรที่ประกอบอาชีพเก็บขยะรีไซเคิลขายที่ไม่ได้มีวันหยุด กลับกันพวกเขามองว่านี่คือโอกาสทองในการหาขุมทรัพย์ที่ง่ายเพียงกระพริบตา ยายอ๊อดบอกเสมอว่า "เรียนสูงๆเข้าไว้น่ะลูกจบมาจะได้เป็นเจ้าคนนายคนเป็นใหญ่เป็นโตจะได้ไม่ลำบาก"
"เมื่อวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงสุขภาพจึงเปลี่ยนไป" ยายอ๊อดหญิงชราต้องขลุกอยู่กับขยะมูลฝอยมานาน ต้องเผชิญหน้ากับสภาพอากาศบวกกับสภาพทางกายภาพของยาย ทำให้ยายมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น หนึ่งในปัญหาสุขภาพของยายคือ โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังและโรคหืดหอบ ยายอ๊อดมักจะมีอาการคันตามข้อแขนเรื้อรัง และมีอาการแน่นหน้าอกทุกครั้งเมื่อยายรู้สึกเหนื่อย ดังนั้นยายจึงพกที่พ่นยาไว้ติดตัวตลอดเวลา ฉะนั้นยายจุึงเดินไปและหยุดพักไปตลอดการทำงาน ยายเคยบอกไว้ว่า "ยายจะเป็นอะไรไปไม่ได้หรอก ถ้าน้องๆยังไม่โต" นี่คือคำพูดของหญิงชราที่แข็งแกร่งอันมีความรักที่บริสุทธิ์และภาระเบื้องหลัง ยายเป็นดั่งหัวหน้าครอบครัวและเสาหลักของบ้านเลยก็ว่าได้
"จากภาระหน้าที่ และความยากจน จึงทำให้ยายอ๊อดหันเหและผันแปรชีวิตตัวเองเข้าสู่โหมดการประกอบ อาชีพที่ไม่มีวันหยุด ยายจะต้องทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข ถ้ายายอ๊อดยังไม่เห็นหลานๆประสบความสำเร็จ
ยายจะไม่หยุดสิ่งที่ทำอยู่นอกเหนือเสียจากว่าร่างกายของยายจะไม่ไหวแล้วหรือจนกว่าจะสิ้นลม"