SKIN DEEP
Show me a man with a tattoo and I’ll show you a man with an interested past- Jack London
หากจะกล่าวถึงรอยสักในปัจจุบัน คงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ของสังคมไทย เพราะผู้คนสมัยใหม่เริ่มที่จะเปิดใจยอมรับและเข้าใจกับการสักและรอยสักมากขึ้น ในอดีตผู้คนอาจจะมองว่ารอยสักนั้นคือ “ตราบาป” เพราะในอดีตจะมีแต่นักโทษเท่านั้นที่ได้รับการสักเพื่อลงเลขนักโทษเอาไว้ ในขณะที่ปัจจุบันความหมายของรอยสักนั้นก็ได้เปลี่ยนไป สำหรับผู้คนในปัจจุบัน หลายคนมองว่าการสักคืองานศิลปะ คือเครื่องมือบันทึกเรื่องราวที่คอยย้ำเตือนเรา เพราะในบางครั้งความทรงจำของเราอาจจะเลือนไปบ้าง แต่ไม่เหมือนกับรอยสักที่จะอยู่ติดตัวเราไปตลอด และมันจะช่วยย้ำเตือนความทรงจำของเราให้เด้งกลับมาอยู่เสมอ
ดังเช่น David และ Victoria Beckham ทั้งคู่ต่างสักชื่อของกันและกันลงบนข้อมือ เพื่อให้นึกถึงกันและกันอยู่เสมอ David และ Victoria Beckham ให้ความหมายกับรอยสักชื่อของทั้งสองไว้ว่า “ความรักนั้นยาวนาน และรอยสักที่อยู่บนร่างนั้นก็ยาวนานเช่นกัน”
David ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคนดังที่มีรอยสักอยู่บนร่างกายมากกว่า 40 รอย หากแต่ทุกรอยนั้นมีความหมายเกี่ยวกับบางอย่างในชีวิตของเขาอย่างชัดเจน มีทั้งชื่อลูกสาวของเขา “Harpee Pretty Lady” หรือแม้แต่ตัวเลข 99 ซึ่งหมายถึงปี 1999 ปีที่เขาแต่งงานกับ Victoria
เบื้องหลังความสวยงามของศิลปะบนหนังของมนุษย์คือช่างสัก
ผู้ซึ่งรังสรรค์ความงามลงบนเรือนร่างของผู้คน
JAMES
TATTOO STUDIO
CHIANG MAI
“พี่เจมส์ เจ้าของร้าน James Tatoo Studio Chiang Mai” เป็นอีกหนึงช่างสักผู้มีฝีมือ
ในวงการ หากดูจากลักษณะภายนอกของพี่เจมส์นั้น
ช่างแตกต่างจากช่างสักส่วนใหญ่ที่เราเคยเห็นแบบสิ้นเชิง
เพราะบนตัวของพี่เจมส์จะมีรอยสักน้อยมาก หากเทียบกับช่างสักคนอื่น
รอยสักบนตัวของพี่เจมส์ส่วนมากจะเป็นแนว ‘Abstract’
ซึ่งเป็นรอยสักที่ดูเหมือนเป็นรอยอย่างอื่นมากกว่า ดูเหมือนจะไม่มีความหมาย
แต่หากเป็นความชอบส่วนตัวของพี่เจมส์ในด้านความสวยงามของศิลปะ
และหลังจากได้พูดคุยกนนั้น พี่เจมส์ได้ลบภาพของช่างสักผู้มีบุคลิกเงียบขรึมและฮาร์ดคอร์
ให้กลายมาเป็นช่างสักผู้คุยสนุก ตลก สบาย
ทำให้บรรยากาศระหว่างการสักเป็นไปอย่างผ่อนคลายและเป็นกันเอง
ในส่วนของการสักในแต่ละครั้งใช้เงินมากพอสมควรขั้นต่ำจะอยู่ที่ห้าร้อยบาท
ขึ้นอยู่กับขนาดของรูปที่ต้องการสัก
และการสักจะอยู่ติดตัวเราไปตลอด เพราะฉะนั้นจึงควรคิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
“พี่ไม่มีนิยามที่ตายตัวของรอยสัก พี่รู้แค่ว่าพี่เป็นคนสร้างงานนี้ เพราะฉะนั้นพี่จะคิดทุกอย่าง
รวมกันหมดเลย มันก็คือเป็นทุกอย่าที่ลูกค้าพี่
อยากให้มันเป็น ลูกค้าบางคนอาจจะบอกว่า
เป็นเพราะความชอบ เป็นความทรงจำ เป็นศิลปะ
เป็นตัวเองของตัวเอง
มันก็คือทุกอย่างสำหรับพี่นั่นแหละ เพราะพี่เป็นคนสร้างงานของพี่ รอยของพี่ ในแบบของเขา บนร่างกายของเขา “
James
TATTOO STUDIO:
เราเรียนจบจากด้านศิลปะมา ตอนแรกก็ไม่ได้มาทำอะไรอย่างนี้หรอก ก่อนจะมารับสักเนี่ยเราเป็นนักดนตรีมาก่อนนะ เคยฟังเพลง ‘รักอย่างเดียวไม่พอ’ ของวง ‘THE BUG’ มั้ย? นี่เราเเป็นมือกลองวงนั้น แต่ทำไปทำมามันก็อิ่มตัว ช่วงนั้นก็ไม่ค่อยได้ทำงานศิลปะ หลังๆ มาเพื่อนก็แนะนำให้มารับสัก เพราะว่าเงินมันดี ก็เลยลองทำดู ก็โอเคนะ ก็เริ่มฝึกสักเด็กสิร์ฟร้านเหล้า เพื่อนก็มาให้สักบ้างแล้วก็ไปบอกต่อกันเรื่อยๆ ฐานลูกค้าก็ใหญ่ขึ้น เราก็เลยออกมาเป็นร้านของตัวเอง จนมาเป็น ‘JAME TATTOO CHIANG MAI’ จนทุกวันนี้
ATTITUDE:
เราว่าเรื่องสักเนี่ยมันอยู่กับเรามานานละตั้งแต่อดีต เมื่อก่อนมันอาจจะมีความหมายที่ไม่ดีจริง เอาไว้สักนักโทษ แต่สังคมมันก็เปลี่ยนตามเวลา ทุกวันนี้การสักมันก็คือหนึ่งในศิลปะ บนร่างกายเรา มันไม่ได้ดูเลวร้ายมากมายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว คนส่วนใหญ่ก็เริ่มยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันอยู่กับเรามานานแล้ว และมุมมองของคนต่อการสักเนี่ยก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หลายคนที่มาสักกับเราก็มีตั้งแต่ พนักงานธนาคาร ทหาร แอร์ มีมาหมด เพราะฉะนั้นเราคิดว่าวันนึงคนเขาจะเปลี่ยนใจ
คนที่แบบ “I hate tattoo, having tattoo is bad” เขาจะต้องเปลี่ยนใจสักวัน วันนึงเขาอาจจะมองว่ามันสวย มันเป็นศิลปะ มันเป็นเครื่องบันทึกความทรงจำก็ได้
WANNAKARN PANTHOM
รอยสักไม่ได้มีเพียงแต่ความสวยงาม รวดลาย และสีสันเท่านั้น
หากแต่มันยังมีความหมายอยู่ในตัวของมันเสมอ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุณเคยเห็นรอยสักของใครสักคน แล้วเกิดความสงสัยมั้ยว่า ทำไมเขาถึงต้องสักลายนี้? มันมีความหมายแฝงบางอย่างกับเขาหรือเปล่า?
รอยสักไม่ได้มีเพียงแต่ความสวยงาม รวดลาย และสีสันเท่านั้น หากแต่มันยังมีความหมายอยู่ในตัวของมันเสมอ
INK:
เราแค่อยากมีรอยสักอยู่บนตัว และรอยนั้นต้องมีความหมายสำหรับเรา
มันเป็นความรู้สึกดี มันสวยสำหรับเรา มันอาจจะคล้ายๆว่าเป็นเครื่องเตือนใจ
แต่สำหรับคนอื่นจะมองว่ายังไงก็แล้วแต่เลยเราไม่ได้สนใจ
เพราะเรื่องอย่างนี้มันเป็นความชอบส่วนบุคคล
ก่อนสัก เราแค่คิดว่าเราอยากมีอะไรส่ักอย่างที่เป็นเหมือนศิลปะว่าเราอยากจะเก็บอะไรไว้ ที่จริงเราเก็บไว้ในหัว ไว้ในหูอะไรก็ได้นะ สมมุติเราพูดกับตัวเองว่าฉันมีสามสิงที่สำคัญในชีวิตฉันคือนั่นนี่ แต่นี่ก็เป็นอีกรปแบบหนึ่งที่ปังปอนอยากแสดงออกมาบนร่างกายเป็นศิลปะะที่อยากแสดงออกมาเฉยๆ เวลาเห็นมันก็ระลึกทุกครั้งว่ามันคืออะไร สักก็เป็นอีกหนึ่งวิธี ก็สิ่งที่เราคิดว่าสำคัญที่สุดในชีวิตก็มีสามอย่าง “ความรัก ครอบครัว และเพื่อน” และก็คิดว่าเอ่อจะทำยังไงให้มันกลายมาเป็นศิลปะบนตัวเองดี
THREE THINGS:
ส่วนตัวเป็นคนชอบเส้นตรง แล้วก็ชอบอะไรง่ายๆ เลยเลือกสักแค่สามเส้น เป็นตัวแทนของสามสิ่งนี้ ส่วนที่อยู่ตรงข้างนี่ก็เหมือนกันแต่มันเป็นอีกหนึ่งชุดความหมาย นึง เราไปเจอquoteนึง เป็นquoteประทับใจ ตอนแรกเราจะสักเป็นตัวหนังสือ “The first one is to be kind, the second one is to be kind and the third one is to be kind.” เห้ยแบบ ขึ้นต้นมาก็กินใจแล้วอ่ะ คือมันบ่งบอกลึกๆว่า โลกเรายังมีคนหลายแบบมากมายแต่อย่างนึงที่คนไม่ค่อยนึกถึงคือ มีน้ำใจ เอื้อเผื้อเผื่อแผ่ แล้วก็เลยคิดว่า เอ่อ ถ้าเราเห็นมันทุกวันตรงนี้เราจะได้นึกไว้เนาะก่อนที่เราจะทำอะไรทุกครั้งออกไป นึกไว้ว่าบนโลกนี้มันไม่ได้มีแต่เรา ถ้าเราได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อคนอื่นบ้างก็คงจะดี และรูปทรงมันมาจากการที่เราชอบเส้นตรง เราก็ลองเอาเส่นตรงมาต่อกันวาดๆดู ลองวาดหลายอันมากแล้วก็เลือก เราก็เรียกอันที่ชอบที่สุดออกมาเพราะมันจะมาอยู่กับเราตลอด ไม่ได้เหมือนดินสอที่วาดแล้วก็ลบได้นะ
VISIBLE:
มันเป็นเรื่องของเวลามากกว่า เราก็อยากจะให้คนอื่นเห็น เพราะเหมือนของสิ่งหนึ่งที่เราภูมิใจที่จะมีมันตั้งแต่แรกแล้วเราก็ย่อมอยากที่จะแสดงมันออกมา ในทุกครั้งที่มีโอกาส อย่างเช่นถูกถามให้เปิดให้ดู หรือเราอยากจะเปิดให้ดูเองโดยการใส่กางเกงขาสั้นหรือเสื้อแขนกุดที่มีรอยสักอยู่ตรงนั้นก็แล้วแต่ ด้วยที่ว่าเขามองตั้งแต่แรกแล้วว่ารอยสักเป็นสิ่งที่สวยงามสำหรับเขามันเลยโชว์ออกไปแบบไม่มีข้อจำกัดได้ แต่ส้ำหรับคนที่เขาคิดตั้งแต่เริ่มต้นแต่แรกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ด่างพล้อย เขาก็อยากจะทำทุกทางเพื่อปกปิด เช่นรอยแผลเป็น แต่มันตรงกันข้ามสำหรับเรา รอยสักนี้เราภูมิใจที่จะมีมันมาตั้งแต่ต้น ส่วนโชว์หรือไม่โชว์เราว่ามันเป็นเรื่งของโอกาสมากกว่าที่จะได้แสดงออกมามากกว่า เช่นวันนี้อยากใส่เสื้อแขนกุดก็โชว์ไป วันนี้จะเสื้อแขนยาวก็ปิดไว้ เพราะเราโอเคที่จะมีมันอยู่ตั้งแต่แรกแล้วไง จึงไม่ต้องกลัวที่จะปิด แต่มันก็มีจังหวะในการเปิดเผยของมันด้วย
ATTITUDE:
คิดว่ารอยสัคิดว่ารอยสักเป็นศิลปะอีกอย่างหนึ่งที่ส่วนตัวใช้มันเป็นศิลปะที่ถูกนำมาใช้แสดงออกแทนความคิดของตัวเราเอง อาจจะแฝงไปด้วยความหมายบางอย่างผ่านล่องลอยอันนั้น ไม่ใช้การสักแบบไม่มีเหตุผล อย่างของปังปอนเองก็ไปเจอquote ที่มีความหมายดีในความรู้สึกของเรา เราชอบประโยคนี้ และคิดอยากจะให้มันอยู่บนตัวเรา พอทุกครั้งที่เราเห็นมัน เราจะได้นึกถึงความหมายของมัน และremind ตัวเองอยู่ตลอดเวลา
TOWARD:
รอยสักมันอยู่ติดตัวเราไปตลอด เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากจะสักก็อยากจะให้คิดให้ดี คิดให้ลึก อย่าสักเพราะแฟชั่น อย่าสักเพราะเป็นคุ่กัน ตอนนี้เธออาจจะไม่คิดถึงอนาคต วันนึงเธออาจจะไม่ชอบมัน เธออาจจะเลิกกัน วันหนึ่งเธอก็จะเสียใจที่สักมัน
Wannakan Panthom
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ATTITUDE:
ไม่คิดยังไงก็เฉยๆนะ ถ้าเขาอยากสักเราก็ให้สักไป มันเป็นสิทธิ์ของตัวเขาเป็นร่างกายของเขา เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกว่าเห้ยเราไม่ชอบนะอย่าไปสัก ก็ในเมื่อเป็นร่างกายของเขา เขาก็จะทำยังไงกับมันก็ได้ เราก็ไม่ซีเรียสนะเรื่องนี้ เฉยๆอยากสักก็สักเลย ที่เขามีรอยสักงี้เราก็โอเคนะ สบายมาก เขาชอบก็ปล่อยเขาทำไป ผมไม่ซีเรียสอะไรอยู่แล้ว แล้วแต่ถ้าเขาชอบก็ทำไป เอาง่ายๆผมไม่ซีเรียสเรื่องนี้นะ เพราะผมคิดว่ามันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วที่จะสักยันต์ สักเลขนักโทษอะไรต่างๆแบบน่ากลัว สมัยนี้รอยสักก็เปลี่ยนไปตามยุดสมัย รอยสักแบบน่ารักๆ แบบมินิมิลก็มีเยอะมากขึ้น มันสวยไปอีกแบบนะ แต่ก็นะอยากให้คนที่จะไปสักคิดให้ดีก่อน เพราะมันจะอยู่ติดตัวเราไปตลอด มันลบออกไม่ได้ ก็อยากจะให้คิดให้ดีว่ามันมีความหมายมากพอสำหรับชีวิตคนคนนึง
VISIBLE:
ปกติเขาก็ไม่ไดโชว์มากนะ แล้วแต่บางโอกาสนั่นแหละ มีโอกาสก็โชว์ ใครเขาก็อยากโชว์เราไปทำให้มาแล้วทั้งที
NATTAPONG SUPAPOL